การดำน้ำลึก (Scuba) เป็นกิจกรรมที่สนุก น่าตื่นเต้น และมีความปลอดภัยสูง เนื่องจากนักดำน้ำจะต้องผ่านการฝึกและทดสอบอย่างถูกต้องก่อนเริ่มดำน้ำ ต้องมีความเข้าใจในการใช้งานอุปกรณ์ดำน้ำ รวมถึงต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของ Dive Lead อย่างเคร่งครัดในทุก ๆ ครั้งที่ดำน้ำ แต่หากนักดำน้ำละเลยหลักความปลอดภัย เลือกใช้อุปกรณ์ไม่เหมาะสม หรือ ขาดอุปกรณ์สำคัญ อย่าง Dive Computer ไป ก็อาจเผชิญกับความเสี่ยงต่อสุขภาพ อย่าง โรคน้ำหนีบ (Decompression Sickness หรือ DCS) ที่เกิดจากการสะสมก๊าซไนโตรเจนในร่างกายมากเกินไปได้
ในบทความนี้ของ PRODIVE ขอพาไปทำความเข้าใจถึงสาเหตุ อาการ และวิธีป้องกันโรคน้ำหนีบ เพื่อทำให้การดำน้ำของคุณเป็นประสบการณ์ที่ปลอดภัยและน่าประทับใจ
โรคน้ำหนีบคืออะไร เกิดจากอะไร
โรคน้ำหนีบ หรือ Decompression Sickness (DCS) เป็นภาวะทางสรีระที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงความดันอากาศอย่างรวดเร็วหรือกะทันหัน โดยเฉพาะในกลุ่มนักดำน้ำสกูบา ที่ขึ้นจากน้ำลึกสู่ผิวน้ำโดยละเลยขั้นตอนการลดความดัน (Decompression) ที่ถูกต้อง หรือ อยู่ใต้น้ำนานเกินกว่าที่กำหนด
เนื่องจากก๊าซไนโตรเจน ที่เป็นส่วนประกอบหลักของอากาศที่เราใช้หายใจใต้น้ำนั้นถูกสะสมไว้ในกระแสเลือดรวมถึงในเนื้อเยื่อในร่างกายขณะดำน้ำ โดยจะรวมตัวกันเป็นฟองอากาศเล็ก ๆ และเมื่อนักดำน้ำเคลื่อนตัวขึ้นมาจากใต้น้ำสู่ผิวน้ำ ผ่านความลึกระดับต่าง ๆ ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เลือดและเนื้อเยื่อของนักดำน้ำดูดซับไนโตรเจนเพิ่มเติมจากปอดเมื่ออยู่ที่ระดับความลึก
หากนักดำน้ำดำขึ้นจากน้ำเร็วเกินไป ก๊าซส่วนนี้จะแยกตัวออกจากการละลายและก่อตัวเป็นฟอง โดยฟองเหล่านี้จะส่งผลกระทบเชิงกลและชีวเคมีทำให้เกิดภาวะที่รู้จักกันว่า โรคน้ำหนีบ Decompression Sickness (DCS)
ผลกระทบโดยตรงของฟอง (Direct Bubble Effects) มีอะไรบ้าง
ฟองที่เกิดขึ้นสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่
ฟองก่อตัวในเนื้อเยื่อ (Autochthonous bubbles)
- สร้างแรงกดไปยังปลายประสาท
- ทำให้เนื้อเยื่อยืดและฉีกขาด จนเกิดเลือดออก
- เพิ่มความดันในเนื้อเยื่อ ส่งผลให้เลือดไหลเวียนช้าลงหรือหยุดไหล
- เป็นสาเหตุหลักของการบาดเจ็บที่ไขสันหลัง กระดูก กล้ามเนื้อ และหูชั้นใน
ฟองในกระแสเลือด
1. ฟองในเลือดดำ (Venous bubbles)
- อุดกั้นการไหลเวียนเลือดในอวัยวะต่างๆ
- ทำให้เนื้อเยื่อขาดออกซิเจน นำไปสู่การบาดเจ็บและเซลล์ตาย
-
เมื่อเข้าสู่ปอด จะก่อตัวเป็นลิ่ม (VGE) ทำให้เกิดภาวะน้ำท่วมปอด ลดการแลกเปลี่ยนก๊าซ เกิดภาวะขาดออกซิเจนทั่วร่างกายและคาร์บอนไดออกไซด์คั่ง
2. ฟองในเลือดแดง (Arterial bubbles)
- เกิดลิ่มอุดกั้นการส่งเลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อ
- ทำให้เนื้อเยื่อขาดออกซิเจนและเซลล์ตาย
- เป็นสาเหตุหลักของการบาดเจ็บที่สมองใหญ่
ผลกระทบทางอ้อมของฟอง (Indirect Bubble Effects) มีอะไรบ้าง
เมื่อมีฟองในร่างกาย ระบบภูมิคุ้มกันจะตอบสนองเสมือนมีสิ่งแปลกปลอมเข้าร่างกาย ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบต่าง ๆ ดังนี้
1. การรั่วของหลอดเลือด
- เซลล์บุผนังหลอดเลือดเสียหาย
- พลาสมารั่วออกนอกหลอดเลือด แต่เม็ดเลือดยังคงอยู่ภายใน
- เลือดมีความหนืดมากขึ้น ทำให้การไหลเวียนลดลง
2. การทำงานของเกล็ดเลือด
- เกล็ดเลือดจะเกาะกลุ่มกันบริเวณที่มีฟอง
- เกิดการก่อตัวของลิ่มเลือด
3. การปล่อยสารจากเนื้อเยื่อที่บาดเจ็บ
- ปล่อยไขมันเข้าสู่กระแสเลือด ซึ่งอาจก่อตัวเป็นลิ่มและทำให้เนื้อเยื่อขาดออกซิเจน
- ปล่อยฮีสตามีนและสารคล้ายฮีสตามีน ซึ่งส่งผลให้เกิดอาการต่าง ๆ ดังนี้
- เกิดอาการบวม
- อาจเกิดภาวะช็อก
- หายใจลำบากคล้ายอาการแพ้
จากสถิติพบว่า โรคน้ำหนีบสามารถพบได้ประมาณ 3 รายต่อการดำน้ำ 10,000 ครั้ง แต่หากเกิดขึ้นอาจมีความรุนแรงถึงขั้นเป็นอันตรายต่อชีวิต ดังนั้น เพื่อป้องกันการเกิดโรคน้ำหนีบ นักดำน้ำส่วนใหญ่จะใช้ Dive Computer เพื่อช่วยคำนวณระยะเวลาและความลึกที่ปลอดภัยในการดำน้ำลึก
โรคน้ำหนีบมีกี่ประเภท และมีอาการอย่างไรบ้าง
โรคน้ำหนีบสามารถแบ่งได้โดยทั่วไป เป็น 2 ชนิด ได้แก่
-
โรคน้ำหนีบชนิดที่ 1 (Type I) ส่งผลกระทบต่อผิวหนัง ระบบน้ํา เหลือง กล้ามเนื้อและข้อ โดยรูปแบบนี้ไม่เป็นภัยคุกคามต่อชีวิต
- โรคน้ำหนีบชนิดที่ 2 (Type II) หรือ โรคน้ำหนีบรุนแรง ส่งผลกระทบถึงระบบประสาท ระบบหายใจ หรือ ระบบไหลเวียนโลหิต โดยโรคน้ำหนีบรูปแบบนี้อาจกลายเป็นภัยคุกคามต่อชีวิตได้
เนื่องด้วยการรักษาทั้งโรคน้ำหนีบ ชนิดที่ 1 และ 2 อาจแตกต่างกัน จึงเป็นสิ่งสําคัญในการแยกลักษณะอาการของสองชนิดให้ได้ รวมถึงอาการของโรคน้ำหนีบทั้งสองชนิด อาจปรากฏในเวลาเดียวกันได้อีกด้วย
1. โรคน้ำหนีบชนิดที่ 1 มีอาการอย่างไรบ้าง
สำหรับโรคน้ำหนีบชนิดที่ 1 นี้ นักดำน้ำจะเรียกกันว่า เบนด์ (Bend) มีอยู่ด้วยกัน 3 อาการ ดังนี้
อาการปวดกระดูกและกล้ามเนื้อเพียงอย่างเดียว (Musculoskeletal Pain-only Sympoms)
สำหรับอาการที่พบบ่อยที่สุด คือ การปวดข้อ โดยเฉพาะ หัวไหล่ ข้อศอก ข้อมือ การปวดจะเป็นอาการปวดลึก ๆ ตื้อ ๆ (Deep, Dull ache)
อาการทางผิวหนัง (Cutaneous Symtoms)
ภาพผื่นลายหินอ่อน เครดิตภาพจาก dan.org
สำหรับอาการที่พบบ่อยที่สุดคือ อาการคัน โดยมักเกิดชั่วคราว ไม่ต้องรักษาด้วยแชมเบอร์ (Hyperbaric Chamber) แต่ถ้าเกิดผื่นที่เป็นลายจ้ำ หรือ ลายหินอ่อน รู้จักกันในนาม Cutis marmorata อาจเป็นอาการนำของโรคน้ำหนีบที่รุนแรง
อาการทางระบบต่อมน้ำเหลือง (Lymphatic Symptoms)
ทำให้มีอาการปวดบริเวณต่อมน้ำเหลือง
2. โรคน้ำหนีบชนิดที่ 2 มีอาการอย่างไรบ้าง
สำหรับอาการของโรคน้ำหนีบชนิดที่ 2 นี้ อาจเป็นอาการที่เห็นได้ไม่ชัดเจน และนักดำน้ำอาจไม่ได้เฝ้าระวังหรือให้ความสำคัญ เช่น อาการเหนื่อยล้า หรือ อ่อนเพลีย โดยอาจเข้าใจไปเองว่า เกิดจากการออกแรงอย่างหนัก (Overexertion) จนกระทั่งกลายเป็นอาการที่รุนแรงขึ้น โดยมีลักษณะอาการด้วยกัน 3 อาการดังนี้
อาการทางระบบประสาท (Neurological Symtoms)
ลักษณะอาการ คือ มีอาการชา อาการคล้ายเป็นเหน็บ การรับรู้ผิดเพี้ยน เป็นต้น หากส่งผลกระทบต่อการทำงานของสมองขั้นสูง อาจส่งผลให้พฤติกรรมเปลี่ยนไปเช่น หลงลืม (Amnesia) พฤติกรรมประหลาด (Bizarre behavior) เป็นต้น
อาการหูชั้นใน (Inner Ear Symtomps)
ลักษณะอาการ คือ สูญเสียการได้ยิน บ้านหมุน คลื่นไส้ และอาเจียน แต่ส่วนมากมักจะเกิดกับการดำน้ำที่ใช้ฮีเลียม-ออกซิเจน และระหว่างลดความกดจากการปรับจากการหายใจด้วยก๊าซดังกล่าว
อาการทางระบบหัวใจและการหายใจ (Cardiopulmonary Symtomps)
หากเกิดฟองจำนวนมากจะส่งผลต่อการไหลเวียนภายในปอดหรือที่เรียกกันว่า “Chokes” อาจเริ่มต้นด้วยการเจ็บหน้าอกและเป็นมากขึ้นเมื่อหายใจเข้า อัตราการหายใจเร็วขึ้น หายใจลำบาก ซึ่งอาจรุนแรงจนกระทั่งหยุดการไหลเวียนและหมดสติ
ปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคน้ำหนีบ
- โรคอ้วน (High Body Fat Content)
- ร่างกายมีภาวะขาดน้ํา (Dehydration)
- การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อนดำน้ำ
- มีอาการเมาค้าง
- การออกกําลังกายระหว่างการดำน้ำ
- พักผ่อนไม่เพียงพอ
- สภาพแวดล้อมที่เย็น
- ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการดำน้ำ เช่น เวลาใต้น้ำ ความลึก ความเร็วการดำขึ้น เวลาพักน้ำ การดำซ้ำ เป็นต้น
- อายุที่เพิ่มขึ้น
- เคยเป็นน้ำหนีบมาก่อนในอดีต
- ผู้หญิงเสี่ยงมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะช่วงเป็นประจำเดือน
- Patent Foramen Ovale (PFO)
- Physical fitness
- ปัจจัยหลังการดำน้ำ เช่น การออกกำลังกาย การอาบน้ำหรือแช่น้ำอุ่นและการขึ้นบินหรือการขึ้นสู่ที่สูงกว่าระดับ 300 เมตร/1,000 ฟุต
วิธีช่วยเหลือเบื้องต้น เมื่อเป็นโรคน้ำหนีบ
เพื่อให้สอดคล้องกับการดูแลนักดำน้ำที่มีการเรียนการสอนกันอยู่แล้ว ดังนี้
- D - check for danger ดูความปลอดภัย
- R - check the diver’s response ดูการรู้สึกตัวของนักดำน้ำ
- S - send for help ขอความช่วยเหลือ โทร. 1669 และเตรียมข้อมูลผู้ป่วยให้พร้อมตามแบบฟอร์มหลักสูตร Rescue diver
- A - open air way เปิดทางเดินหายใจเพื่อให้หายใจได้สะดวก
- B - check for “normal” breathing ดูการหายใจ และช่วยหายใจหากไม่หายใจ
- C - CPR หากไม่หายใจหรือหายใจเฮือก (gasping)
- D - attach an automated external defibrillator (AED)
- L - Lie the diver down ให้ผู้ป่วยนอนราบ หากนักดำน้ำรู้สึกคลื่นไส้อาเจียนหรือยังไม่รู้สึกตัวเต็มที่ควรจัดให้นอนท่านอนตะแคงกึ่งคว่ำ (recovery position)
- A - administer 100% oxygen ให้ออกซิเจน 100% และให้ดื่มน้ำอย่างเพียงพอโดยเฉพาะ 1 ลิตรใน 1 ชม.แรก เพื่อส่งเสริมระบบไหลเวียนเลือด
- T - transfer to recompression chamber เคลื่อนย้ายไปยัง โรงพยาบาลที่มีห้องแชมเบอร์
รักษาโรคน้ำหนีบ อย่างไร
การรักษาโรคน้ำหนีบจะต้องนำนักดำน้ำส่งไปยังโรงพยาบาลที่มีห้องปรับแรงดันบรรบยากาศสูง(Hyperbaric chamber) โดยมีจุดประสงค์หลัก
- เพิ่มความกดให้ฟองก๊าซมีปริมาตรเล็กลงเพื่อลดการเบียดของฟองก๊าซและเริ่มการไหลเวียนเลือดใหม่
- เพิ่มเวลาที่เพียงพอสำหรับการขจัดฟองก๊าซ
- เพิ่มปริมาณออกซิเจนในเลือด ซึ่งจะส่งออกซิเจนไปยังเนื้อเยื่อที่ได้รับบาดเจ็บ
ข้อควรรู้: ไม่แนะนำให้นำนักดำน้ำลงไปลดความกดหรือรักษาในน้ำ
การป้องกันตัวเองจากโรคน้ำหนีบ
- ใช้อุปกรณ์แจ้งเตือน และช่วยคำนวณความปลอดภัย อย่าง Dive Computer และต้องทำตามที่ Dive Computer กำหนด
- เตรียมความพร้อมร่างกายให้ดีก่อนการดำน้ำ และต้องพักผ่อนให้เพียงพอ
- งดการดื่มแอลกอฮอล์
- ปฏิบัติตามหลักความปลอดภัยในการดำน้ำ และฟังคำแนะนำจาก Dive Lead เสมอ
- นักดำน้ำควรเคลื่อนตัวขึ้นมาจากใต้น้ำสู่ผิวน้ำช้า ๆ และพักน้ำเป็นระยะ ตามที่ Dive Computer กำหนด เพื่อให้ร่างกายคอย ๆ ปรับสมดุล
- ควรสังเกตอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นหลังจากดําน้ําลึก 24 ชั่วโมง หากมีอาการผิดปกติควรรีบไปพบแพทย์โดยทันที
- ห้ามออกกำลังกายหลังดำน้ำทันที เนื่องจากเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคน้ำหนีบ
- ห้ามขึ้นเครื่องบินภายใน 24 ชั่วโมงหลังดําน้ําลึก
Dive Computer ช่วยป้องกันโรคน้ำหนีบได้ยังไง
Dive Computer เปรียบเสมือนผู้ช่วยส่วนตัวของนักดำน้ำ ที่สามารถช่วยให้วางแผนการดำน้ำได้อย่างปลอดภัย และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคน้ำหนีบได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีฟังก์ชันต่าง ๆ ดังนี้
คำนวณเวลาที่ปลอดภัยในการดำน้ำ
โดย Dive Computer จะคำนวณเวลาที่นักดำน้ำสามารถอยู่ในความลึกต่าง ๆ ได้โดยไม่เสี่ยงต่อการเกิดโรคน้ำหนีบ เช่น ความลึก เวลาที่สามารถดำน้ำได้ปลอดภัยในระดับความลึกนั้น ๆ และมีบันทึกการดำน้ำ (Dive Log) ก่อนหน้า
แจ้งเตือนเมื่อถึงขีดจำกัด
เมื่อใกล้ขีดจำกัด ไดฟ์คอมพิวเตอร์จะส่งสัญญาณเตือน เพื่อให้นักดำน้ำได้เตรียมตัวขึ้นสู่ผิวน้ำอย่างปลอดภัย
คำนวณเวลาพักน้ำ
ไดฟ์คอมพิวเตอร์จะคำนวณเวลาพักน้ำที่เหมาะสมระหว่างการดำน้ำ เพื่อให้ร่างกายได้กำจัดก๊าซไนโตรเจนที่สะสมอยู่ออกไป และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคน้ำหนีบ
บทความที่เกี่ยวข้อง
ซื้อ Dive Computer Garmin กับ PRODIVE ได้ที่นี่
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคน้ำหนีบ (DCS)
Q: โรคน้ำหนีบรักษาหายขาดได้หรือไม่?
A: หากได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถหายและฟื้นตัวได้
Q: นักดำน้ำมือใหม่ควรระมัดระวังอย่างไร?
A: เรียนรู้เทคนิคการดำน้ำจากครูสอนดำน้ำผู้เชี่ยวชาญ ใช้อุปกรณ์ดำน้ำที่มีคุณภาพ และปฏิบัติตามกฎความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด
Q: ความถี่ในการตรวจสุขภาพสำหรับนักดำน้ำ?
A: ควรตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หรือ ก่อนเริ่มทริปดำน้ำ
สรุป
โรคน้ำหนีบ (DCS) เป็นภาวะที่เกิดจากการสะสมของก๊าซไนโตรเจนในร่างกายระหว่างดำน้ำลึก เมื่อขึ้นสู่ผิวน้ำอย่างรวดเร็ว ฟองก๊าซจะขยายตัวและส่งผลกระทบต่อหลอดเลือดหรือเนื้อเยื่อ อาการมีตั้งแต่ผื่นแดง ปวดข้อ ไปจนถึงปัญหาระบบประสาท ซึ่งอาจร้ายแรงถึงชีวิต
การป้องกันสามารถทำได้โดยการใช้อุปกรณ์อย่าง Dive Computer เพื่อคำนวณความลึกและระยะเวลาพักน้ำอย่างปลอดภัย รวมถึงเตรียมร่างกายให้พร้อม งดแอลกอฮอล์ และปฏิบัติตามคำแนะนำของ Dive Lead นักดำน้ำควรขึ้นสู่ผิวน้ำช้า ๆ และควรตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อความปลอดภัยในการออกทริปดำน้ำ
อ้างอิง: