Welcome to our store, No.1 Underwater camera and & Diving Gadget in Thailand

New collections added! Learn more

2025 Promotion

5% OFF on your 1st 10,000 THB order

FIRSTORDER25

ทริกป้องกันโรคน้ำหนีบ (DCS) ที่นักดำน้ำควรรู้

ทริกป้องกันโรคน้ำหนีบ (DCS) ที่นักดำน้ำควรรู้

การดำน้ำลึก (Scuba) เป็นกิจกรรมที่สนุก น่าตื่นเต้น และมีความปลอดภัยสูง เนื่องจากนักดำน้ำจะต้องผ่านการฝึกและทดสอบอย่างถูกต้องก่อนเริ่มดำน้ำ ต้องมีความเข้าใจในการใช้งานอุปกรณ์ดำน้ำ รวมถึงต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของ Dive Lead อย่างเคร่งครัดในทุก ๆ ครั้งที่ดำน้ำ แต่หากนักดำน้ำละเลยหลักความปลอดภัย เลือกใช้อุปกรณ์ไม่เหมาะสม หรือ ขาดอุปกรณ์สำคัญ อย่าง Dive Computer ไป ก็อาจเผชิญกับความเสี่ยงต่อสุขภาพ อย่าง โรคน้ำหนีบ (Decompression Sickness หรือ DCS) ที่เกิดจากการสะสมก๊าซไนโตรเจนในร่างกายมากเกินไปได้

ในบทความนี้ของ PRODIVE ขอพาไปทำความเข้าใจถึงสาเหตุ อาการ และวิธีป้องกันโรคน้ำหนีบ เพื่อทำให้การดำน้ำของคุณเป็นประสบการณ์ที่ปลอดภัยและน่าประทับใจ

โรคน้ำหนีบคืออะไร เกิดจากอะไร

โรคน้ำหนีบ หรือ Decompression Sickness (DCS) เป็นภาวะทางสรีระที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงความดันอากาศอย่างรวดเร็วหรือกะทันหัน โดยเฉพาะในกลุ่มนักดำน้ำสกูบา ที่ขึ้นจากน้ำลึกสู่ผิวน้ำโดยละเลยขั้นตอนการลดความดัน (Decompression) ที่ถูกต้อง หรือ อยู่ใต้น้ำนานเกินกว่าที่กำหนด

เนื่องจากก๊าซไนโตรเจน ที่เป็นส่วนประกอบหลักของอากาศที่เราใช้หายใจใต้น้ำนั้นถูก​​สะสมไว้ในกระแสเลือดรวมถึงในเนื้อเยื่อในร่างกายขณะดำน้ำ โดยจะรวมตัวกันเป็นฟองอากาศเล็ก ๆ และเมื่อนักดำน้ำเคลื่อนตัวขึ้นมาจากใต้น้ำสู่ผิวน้ำ ผ่านความลึกระดับต่าง ๆ ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เลือดและเนื้อเยื่อของนักดำน้ำดูดซับไนโตรเจนเพิ่มเติมจากปอดเมื่ออยู่ที่ระดับความลึก 

หากนักดำน้ำดำขึ้นจากน้ำเร็วเกินไป ก๊าซส่วนนี้จะแยกตัวออกจากการละลายและก่อตัวเป็นฟอง โดยฟองเหล่านี้จะส่งผลกระทบเชิงกลและชีวเคมีทำให้เกิดภาวะที่รู้จักกันว่า โรคน้ำหนีบ Decompression Sickness (DCS)

ผลกระทบโดยตรงของฟอง (Direct Bubble Effects) มีอะไรบ้าง

ฟองที่เกิดขึ้นสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่

ฟองก่อตัวในเนื้อเยื่อ (Autochthonous bubbles)

  1. สร้างแรงกดไปยังปลายประสาท
  2. ทำให้เนื้อเยื่อยืดและฉีกขาด จนเกิดเลือดออก
  3. เพิ่มความดันในเนื้อเยื่อ ส่งผลให้เลือดไหลเวียนช้าลงหรือหยุดไหล
  4. เป็นสาเหตุหลักของการบาดเจ็บที่ไขสันหลัง กระดูก กล้ามเนื้อ และหูชั้นใน

ฟองในกระแสเลือด 

1. ฟองในเลือดดำ (Venous bubbles)

  • อุดกั้นการไหลเวียนเลือดในอวัยวะต่างๆ
  • ทำให้เนื้อเยื่อขาดออกซิเจน นำไปสู่การบาดเจ็บและเซลล์ตาย
  • เมื่อเข้าสู่ปอด จะก่อตัวเป็นลิ่ม (VGE) ทำให้เกิดภาวะน้ำท่วมปอด ลดการแลกเปลี่ยนก๊าซ เกิดภาวะขาดออกซิเจนทั่วร่างกายและคาร์บอนไดออกไซด์คั่ง

2. ฟองในเลือดแดง (Arterial bubbles)

  • เกิดลิ่มอุดกั้นการส่งเลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อ
  • ทำให้เนื้อเยื่อขาดออกซิเจนและเซลล์ตาย
  • เป็นสาเหตุหลักของการบาดเจ็บที่สมองใหญ่

 

    ผลกระทบทางอ้อมของฟอง (Indirect Bubble Effects) มีอะไรบ้าง

    เมื่อมีฟองในร่างกาย ระบบภูมิคุ้มกันจะตอบสนองเสมือนมีสิ่งแปลกปลอมเข้าร่างกาย ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบต่าง ๆ ดังนี้

    1. การรั่วของหลอดเลือด

    • เซลล์บุผนังหลอดเลือดเสียหาย
    • พลาสมารั่วออกนอกหลอดเลือด แต่เม็ดเลือดยังคงอยู่ภายใน
    • เลือดมีความหนืดมากขึ้น ทำให้การไหลเวียนลดลง

    2. การทำงานของเกล็ดเลือด

    • เกล็ดเลือดจะเกาะกลุ่มกันบริเวณที่มีฟอง
    • เกิดการก่อตัวของลิ่มเลือด

    3. การปล่อยสารจากเนื้อเยื่อที่บาดเจ็บ

    • ปล่อยไขมันเข้าสู่กระแสเลือด ซึ่งอาจก่อตัวเป็นลิ่มและทำให้เนื้อเยื่อขาดออกซิเจน
    • ปล่อยฮีสตามีนและสารคล้ายฮีสตามีน ซึ่งส่งผลให้เกิดอาการต่าง ๆ ดังนี้
      • เกิดอาการบวม
      • อาจเกิดภาวะช็อก
      • หายใจลำบากคล้ายอาการแพ้

    จากสถิติพบว่า โรคน้ำหนีบสามารถพบได้ประมาณ 3 รายต่อการดำน้ำ 10,000 ครั้ง แต่หากเกิดขึ้นอาจมีความรุนแรงถึงขั้นเป็นอันตรายต่อชีวิต ดังนั้น เพื่อป้องกันการเกิดโรคน้ำหนีบ นักดำน้ำส่วนใหญ่จะใช้ Dive Computer เพื่อช่วยคำนวณระยะเวลาและความลึกที่ปลอดภัยในการดำน้ำลึก 

    โรคน้ำหนีบมีกี่ประเภท และมีอาการอย่างไรบ้าง

    โรคน้ำหนีบสามารถแบ่งได้โดยทั่วไป เป็น 2 ชนิด ได้แก่

    • โรคน้ำหนีบชนิดที่ 1 (Type I) ส่งผลกระทบต่อผิวหนัง ระบบน้ํา เหลือง กล้ามเนื้อและข้อ โดยรูปแบบนี้ไม่เป็นภัยคุกคามต่อชีวิต 
    • โรคน้ำหนีบชนิดที่ 2 (Type II) หรือ โรคน้ำหนีบรุนแรง ส่งผลกระทบถึงระบบประสาท ระบบหายใจ หรือ ระบบไหลเวียนโลหิต โดยโรคน้ำหนีบรูปแบบนี้อาจกลายเป็นภัยคุกคามต่อชีวิตได้ 

    เนื่องด้วยการรักษาทั้งโรคน้ำหนีบ ชนิดที่ 1 และ 2 อาจแตกต่างกัน จึงเป็นสิ่งสําคัญในการแยกลักษณะอาการของสองชนิดให้ได้ รวมถึงอาการของโรคน้ำหนีบทั้งสองชนิด อาจปรากฏในเวลาเดียวกันได้อีกด้วย

    1. โรคน้ำหนีบชนิดที่ 1 มีอาการอย่างไรบ้าง

    สำหรับโรคน้ำหนีบชนิดที่ 1 นี้ นักดำน้ำจะเรียกกันว่า เบนด์ (Bend) มีอยู่ด้วยกัน 3 อาการ ดังนี้

    อาการปวดกระดูกและกล้ามเนื้อเพียงอย่างเดียว (Musculoskeletal Pain-only Sympoms) 

    สำหรับอาการที่พบบ่อยที่สุด คือ การปวดข้อ โดยเฉพาะ หัวไหล่ ข้อศอก ข้อมือ การปวดจะเป็นอาการปวดลึก ๆ ตื้อ ๆ (Deep, Dull ache)

    อาการทางผิวหนัง (Cutaneous Symtoms) 

    อาการทางผิวหนัง (Cutaneous Symtoms) ผื่นลายหินอ่อนใน DCS

    ภาพผื่นลายหินอ่อน เครดิตภาพจาก dan.org

    สำหรับอาการที่พบบ่อยที่สุดคือ อาการคัน โดยมักเกิดชั่วคราว ไม่ต้องรักษาด้วยแชมเบอร์ (Hyperbaric Chamber) แต่ถ้าเกิดผื่นที่เป็นลายจ้ำ หรือ ลายหินอ่อน รู้จักกันในนาม Cutis marmorata อาจเป็นอาการนำของโรคน้ำหนีบที่รุนแรง 

    อาการทางระบบต่อมน้ำเหลือง (Lymphatic Symptoms) 

    ทำให้มีอาการปวดบริเวณต่อมน้ำเหลือง

    2. โรคน้ำหนีบชนิดที่ 2 มีอาการอย่างไรบ้าง

    สำหรับอาการของโรคน้ำหนีบชนิดที่ 2 นี้ อาจเป็นอาการที่เห็นได้ไม่ชัดเจน และนักดำน้ำอาจไม่ได้เฝ้าระวังหรือให้ความสำคัญ เช่น อาการเหนื่อยล้า หรือ อ่อนเพลีย โดยอาจเข้าใจไปเองว่า เกิดจากการออกแรงอย่างหนัก (Overexertion) จนกระทั่งกลายเป็นอาการที่รุนแรงขึ้น โดยมีลักษณะอาการด้วยกัน 3 อาการดังนี้

    อาการทางระบบประสาท (Neurological Symtoms) 

    ลักษณะอาการ คือ มีอาการชา อาการคล้ายเป็นเหน็บ การรับรู้ผิดเพี้ยน เป็นต้น หากส่งผลกระทบต่อการทำงานของสมองขั้นสูง อาจส่งผลให้พฤติกรรมเปลี่ยนไปเช่น หลงลืม (Amnesia) พฤติกรรมประหลาด (Bizarre behavior) เป็นต้น

    อาการหูชั้นใน (Inner Ear Symtomps) 

    ลักษณะอาการ คือ สูญเสียการได้ยิน บ้านหมุน คลื่นไส้ และอาเจียน แต่ส่วนมากมักจะเกิดกับการดำน้ำที่ใช้ฮีเลียม-ออกซิเจน และระหว่างลดความกดจากการปรับจากการหายใจด้วยก๊าซดังกล่าว

    อาการทางระบบหัวใจและการหายใจ (Cardiopulmonary Symtomps) 

    หากเกิดฟองจำนวนมากจะส่งผลต่อการไหลเวียนภายในปอดหรือที่เรียกกันว่า “Chokes” อาจเริ่มต้นด้วยการเจ็บหน้าอกและเป็นมากขึ้นเมื่อหายใจเข้า อัตราการหายใจเร็วขึ้น หายใจลำบาก ซึ่งอาจรุนแรงจนกระทั่งหยุดการไหลเวียนและหมดสติ

    ปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคน้ำหนีบ

    • โรคอ้วน (High Body Fat Content)  
    • ร่างกายมีภาวะขาดน้ํา (Dehydration) 
    • การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อนดำน้ำ
    • มีอาการเมาค้าง
    • การออกกําลังกายระหว่างการดำน้ำ
    • พักผ่อนไม่เพียงพอ
    • สภาพแวดล้อมที่เย็น
    • ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการดำน้ำ เช่น เวลาใต้น้ำ ความลึก ความเร็วการดำขึ้น เวลาพักน้ำ การดำซ้ำ  เป็นต้น
    • อายุที่เพิ่มขึ้น
    • เคยเป็นน้ำหนีบมาก่อนในอดีต
    • ผู้หญิงเสี่ยงมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะช่วงเป็นประจำเดือน
    • Patent Foramen Ovale (PFO) 
    • Physical fitness
    • ปัจจัยหลังการดำน้ำ เช่น การออกกำลังกาย การอาบน้ำหรือแช่น้ำอุ่นและการขึ้นบินหรือการขึ้นสู่ที่สูงกว่าระดับ 300 เมตร/1,000 ฟุต

    วิธีช่วยเหลือเบื้องต้น เมื่อเป็นโรคน้ำหนีบ

    เพื่อให้สอดคล้องกับการดูแลนักดำน้ำที่มีการเรียนการสอนกันอยู่แล้ว ดังนี้

    • D - check for danger ดูความปลอดภัย
    • R - check the diver’s response ดูการรู้สึกตัวของนักดำน้ำ
    • S - send for help ขอความช่วยเหลือ โทร. 1669 และเตรียมข้อมูลผู้ป่วยให้พร้อมตามแบบฟอร์มหลักสูตร Rescue diver
    • A - open air way เปิดทางเดินหายใจเพื่อให้หายใจได้สะดวก
    • B - check for “normal”  breathing ดูการหายใจ และช่วยหายใจหากไม่หายใจ
    • C - CPR หากไม่หายใจหรือหายใจเฮือก (gasping) 
    • D - attach an automated external defibrillator (AED)
    • L - Lie the diver down ให้ผู้ป่วยนอนราบ หากนักดำน้ำรู้สึกคลื่นไส้อาเจียนหรือยังไม่รู้สึกตัวเต็มที่ควรจัดให้นอนท่านอนตะแคงกึ่งคว่ำ (recovery position)
    • A - administer 100% oxygen ให้ออกซิเจน 100% และให้ดื่มน้ำอย่างเพียงพอโดยเฉพาะ 1 ลิตรใน 1 ชม.แรก เพื่อส่งเสริมระบบไหลเวียนเลือด
    • T - transfer to recompression chamber เคลื่อนย้ายไปยัง โรงพยาบาลที่มีห้องแชมเบอร์ 

    รักษาโรคน้ำหนีบ อย่างไร

    การรักษาโรคน้ำหนีบจะต้องนำนักดำน้ำส่งไปยังโรงพยาบาลที่มีห้องปรับแรงดันบรรบยากาศสูง(Hyperbaric chamber) โดยมีจุดประสงค์หลัก 

    1. เพิ่มความกดให้ฟองก๊าซมีปริมาตรเล็กลงเพื่อลดการเบียดของฟองก๊าซและเริ่มการไหลเวียนเลือดใหม่
    2.  เพิ่มเวลาที่เพียงพอสำหรับการขจัดฟองก๊าซ
    3. เพิ่มปริมาณออกซิเจนในเลือด ซึ่งจะส่งออกซิเจนไปยังเนื้อเยื่อที่ได้รับบาดเจ็บ

    ข้อควรรู้: ไม่แนะนำให้นำนักดำน้ำลงไปลดความกดหรือรักษาในน้ำ

    การป้องกันตัวเองจากโรคน้ำหนีบ

    • ใช้อุปกรณ์แจ้งเตือน และช่วยคำนวณความปลอดภัย อย่าง Dive Computer และต้องทำตามที่ Dive Computer กำหนด
    • เตรียมความพร้อมร่างกายให้ดีก่อนการดำน้ำ และต้องพักผ่อนให้เพียงพอ
    • งดการดื่มแอลกอฮอล์
    • ปฏิบัติตามหลักความปลอดภัยในการดำน้ำ และฟังคำแนะนำจาก Dive Lead เสมอ
    • นักดำน้ำควรเคลื่อนตัวขึ้นมาจากใต้น้ำสู่ผิวน้ำช้า ๆ และพักน้ำเป็นระยะ ตามที่ Dive Computer กำหนด เพื่อให้ร่างกายคอย ๆ ปรับสมดุล
    • ควรสังเกตอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นหลังจากดําน้ําลึก 24 ชั่วโมง หากมีอาการผิดปกติควรรีบไปพบแพทย์โดยทันที
    • ห้ามออกกำลังกายหลังดำน้ำทันที เนื่องจากเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคน้ำหนีบ
    • ห้ามขึ้นเครื่องบินภายใน 24 ชั่วโมงหลังดําน้ําลึก

    Dive Computer ช่วยป้องกันโรคน้ำหนีบได้ยังไง

    Dive Computer เปรียบเสมือนผู้ช่วยส่วนตัวของนักดำน้ำ ที่สามารถช่วยให้วางแผนการดำน้ำได้อย่างปลอดภัย และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคน้ำหนีบได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีฟังก์ชันต่าง ๆ ดังนี้

    คำนวณเวลาที่ปลอดภัยในการดำน้ำ

    โดย Dive Computer จะคำนวณเวลาที่นักดำน้ำสามารถอยู่ในความลึกต่าง ๆ ได้โดยไม่เสี่ยงต่อการเกิดโรคน้ำหนีบ เช่น ความลึก เวลาที่สามารถดำน้ำได้ปลอดภัยในระดับความลึกนั้น ๆ และมีบันทึกการดำน้ำ (Dive Log) ก่อนหน้า

    แจ้งเตือนเมื่อถึงขีดจำกัด

    เมื่อใกล้ขีดจำกัด ไดฟ์คอมพิวเตอร์จะส่งสัญญาณเตือน เพื่อให้นักดำน้ำได้เตรียมตัวขึ้นสู่ผิวน้ำอย่างปลอดภัย

    คำนวณเวลาพักน้ำ

    ไดฟ์คอมพิวเตอร์จะคำนวณเวลาพักน้ำที่เหมาะสมระหว่างการดำน้ำ เพื่อให้ร่างกายได้กำจัดก๊าซไนโตรเจนที่สะสมอยู่ออกไป และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคน้ำหนีบ

    บทความที่เกี่ยวข้อง

    ซื้อ Dive Computer Garmin กับ PRODIVE ได้ที่นี่ 

    คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคน้ำหนีบ (DCS)

    Q: โรคน้ำหนีบรักษาหายขาดได้หรือไม่? 

    A: หากได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถหายและฟื้นตัวได้

    Q: นักดำน้ำมือใหม่ควรระมัดระวังอย่างไร? 

    A: เรียนรู้เทคนิคการดำน้ำจากครูสอนดำน้ำผู้เชี่ยวชาญ ใช้อุปกรณ์ดำน้ำที่มีคุณภาพ และปฏิบัติตามกฎความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด

    Q: ความถี่ในการตรวจสุขภาพสำหรับนักดำน้ำ? 

    A: ควรตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หรือ ก่อนเริ่มทริปดำน้ำ

    สรุป

    โรคน้ำหนีบ (DCS) เป็นภาวะที่เกิดจากการสะสมของก๊าซไนโตรเจนในร่างกายระหว่างดำน้ำลึก เมื่อขึ้นสู่ผิวน้ำอย่างรวดเร็ว ฟองก๊าซจะขยายตัวและส่งผลกระทบต่อหลอดเลือดหรือเนื้อเยื่อ อาการมีตั้งแต่ผื่นแดง ปวดข้อ ไปจนถึงปัญหาระบบประสาท ซึ่งอาจร้ายแรงถึงชีวิต 

    การป้องกันสามารถทำได้โดยการใช้อุปกรณ์อย่าง Dive Computer เพื่อคำนวณความลึกและระยะเวลาพักน้ำอย่างปลอดภัย รวมถึงเตรียมร่างกายให้พร้อม งดแอลกอฮอล์ และปฏิบัติตามคำแนะนำของ Dive Lead นักดำน้ำควรขึ้นสู่ผิวน้ำช้า ๆ และควรตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อความปลอดภัยในการออกทริปดำน้ำ

    อ้างอิง: